ในตรอกสายหนึ่งที่ทั้งมืดทั้งแคบ ทั้งยังไม่มีด ว งไ ฟ ส่องทางให้ความสว่างแม้แต่น้อย
คืนวันหนึ่ง.. พระรูปหนึ่งเดินผ่ า นเข้ามายังตรอกเพื่อมุ่งหน้าไปยังอ าร าม
มืดมากกระทั่งนิ้วมือทั้งห้า ยังไม่อ าจมองเห็นได้ เมื่อเดินไปเรื่อยๆ
พระรูปนี้จึงทั้งเดินไปชนผู้อื่น และถูกผู้อื่นเดินมาชน ไม่หยุดหย่อน สร้างความลำบ ากยิ่งนัก
ตอนนั้นเอง คนผู้หนึ่งถือโคมไฟ เดินเข้ามายังตรอกดังกล่ า ว
พลั นทำให้ในตรอกเกิดแส งสว่ างขึ้นพอสมควร พระได้ยินคนเดินผ่ า นทางกล่ า วว่า
คนตาบอดผู้นั้นช่างแปลกนัก ตนเองมองไม่เห็นแท้ๆ ใยต้องถือโคมไฟให้วุ่ น ว าย
เมื่อพระได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ รอจนกระทั่งคนต า บ อ ด ถือโคมไฟคนนั้นเดินผ่ า นมา จึงเอ่ยถามขึ้นว่า
ขออ ภั ย ท่านตาบอดจริงๆ หรือ?
คนผู้นั้นตอบว่า ถูกแล้ว ข้าเกิดมาก็พิการ ตาสองข้างมองไม่เห็น
สำหรับข้านั้นไม่ว่าจะย ามเช้า สาย บ่าย เย็น ล้วนไม่ต่างกัน
ทั้งยังไม่ทราบว่า แสงสว่างหน้าตาเป็นเช่นไร พระได้ยินดังนั้นก็ ยิ่งงุนงงมากขึ้น เอ่ยถามต่อไปว่า
เช่นนั้นท่านจะถือโคมไฟไปเพื่ออะไร?
คนตาบอดตอบว่า เนื่องเพราะข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่า ในย ามกลางคืน
ไร้แสงสว่าง คนตาดีทั้งหลายก็เป็นเช่นเดียวกับข้า
คือมองไม่เห็นสิ่งใด เมื่อครู่ท่านเดินอย่างมืดมนในตรอก
ใช่โดนคนเดินสวนไปมาชนเอา ใช่หรือไม่?
ท่านดูข้าเองนั้นแม้เป็นคนต าบ อ ด แต่ข้าไม่โดนผู้อื่นเดินชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ทั้งๆ ที่เมื่อก่อน ข้าก็เป็นเช่นเดียวกับท่าน คือโดนคนเดินมาชนเอาบ่อยครั้ง
แต่เมื่อข้าถือโคมไฟ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ที่ข้าจุดโคมไปไหนมาไหนด้วยนั้น
ข้าจุดเพื่อให้แสงสว่างกับผู้อื่น และเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นตัวข้า ตั้งแต่นั้นมาข้าก็ไม่โดนผู้ใดเดินชนอีกเลย
พระได้ยินความดังนั้นก็บร รลุปัญ ญ า การช่วยเหลือผู้อื่น เป็นประโยชน์สูงสุดล้วนกลับคืนมาสู่ผู้ให้
“เมื่อมีความมืดย่อมมีความสว่าง
เมื่อมีหนทางย่อมมีจุดหมาย”
.. บางครั้งชีวิตเราก็ดูมืดมน จนเราร้องหาความสว่างให้กับชีวิต ใยเราจะต้องร้องหาแต่ความสว่าง ทำไมเราไม่เดินหรือวิ่งหามันล่ะ
.. ลืมแล้วหรือว่าในย ามค่ำคืนย่อมมืดมิดเป็นธรรมดา แต่เราลองลืมตาและทำตัวให้ชินกับมัน เราก็จะพบว่าในความมืดนั้นมีแสงสว่างอยู่ เพียงเราต้องไปหามันเท่านั้น
.. การจะพบกับความสำเร็จและจุดหมายปลายทาง เราก็ต้องฝ่าฟันอุปสร รคที่เปรียบกับความมืด เพราะในทุกอุปสรรคมีความสำเร็จและจุดหมายปลายทางรออยู่ค่ะ
ขอบคุณ : พุทโธอวโลกิเตศวร